โดยทองทิว สุวรรณทัต
“เดลินิวส์” อาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2535
เพื่อให้ชีวประวัติของ พล.ร.ต. หลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. ได้จบลงอย่างสมบูรณ์ จึงจะขอนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่เป็นบางเรื่องมาลง ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่เคยทราบประวัติเรื่องราวของท่านจะได้ทราบโดยทั่วกันในครั้งนี้
เรื่องเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ในความสามารถอันพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ นั้น ดูจะไม่มีอะไรเหนือกว่า เรื่องที่แสดงให้เห็นได้ชัด ถึงความสามารถของท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ ได้เท่ากับการอัญเชิญท่านท้าวมหาพรหมเสด็จลงมารักษาคนป่วยหนักยังโลกมนุษย์ โดยองค์ท่านจำแลงกายมาในรูปกายของคนๆ หนึ่ง ดังคำบอกเล่าของคุณตริทิพย์ พุธานานนท์ ภริยา พล.ท.พร้อม พุธานานนท์ อดีตเจ้ากรมจเรทหารบก
เรื่องมีอยู่ว่า คุณพึ่งชม ไชยนันท์ พี่สะใภ้ซึ่งเป็นภรรยาของ พ.ท. โชคชัย ไชยนันท์ (ยศในสมัยนั้น) ป่วยหนัก หมอตรวจอาการแล้วไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ ตาบวมปิดทั้งสองข้าง และบวมหมดทั้งตัว
สามีเห็นอาการภรรยาหนักจึงไปบอกญาติพี่น้องให้ทราบข่าวและต่างพากันมาเยี่ยม ซึ่งเมื่อเห็นอาการของคุณพึ่งชม ยามนั้นแล้วก็เห็นว่าอาการหนักจริงๆ ฝ่ายคุณพึ่งชมเห็นญาติพี่น้องร้องไห้เพราะเวทนาตนก็ร้องไห้ แล้วกล่าวลาตายแก่ญาติพี่น้องทุกคน อันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง คุณตริทิพย์เองก็พลอยร้องไห้ไปด้วยเพราะสงสารพี่สะใภ้
แต่ในท่ามกลางความโศกเศร้าอยู่นั้น คุณตริทิพย์ก็หาหนทางที่จะช่วยคุณพึ่งชมและเกิดนึกถึงท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ขึ้นมาได้ จึงรีบปรึกษา พ.ท.โชคชัย ผู้เป็นพี่ชายว่าจะไปหาท่านให้ลองช่วยเหลือ เพราะถ้าขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เกรงจะไม่ดีแน่ พี่ชายก็เห็นด้วย
เมื่อตกลงใจดังนั้น คุณตริทิพย์ก็รีบไปหาท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ที่บ้านเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าในเช้าวันรุ่งขึ้น
พอทำความเคารพท่านเรียบร้อยยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ก็บอก ไม่ต้องพูด มาเรื่องคนเจ็บใช่ไหม ? คนไข้คนนี้ประตูสวรรค์เปิดแล้ว คนนี้ตายไปก็ไม่ตกนรก เพราะเป็นคนดี
ต่อจากนั้นท่านก็ถามคุณตริทิพย์ว่า ตอนนี้คนป่วยตายหรือยัง?
คุณตริทิพย์ เรียนว่า ยัง
ท่านถามอีกว่า ทำไมไม่อยากให้ตาย
คุณตริทิพย์ก็เรียนว่า เพราะเป็นพี่สะใภ้ แล้วเลยเรียนถามว่า พอจะมีทางไหม ?
ท่านบอกว่า จะลองทูลถามท่านท้าวมหาพรหมดู แล้วท่านก็หลับตาเข้าสมาธิอยู่เป็นครู่หนึ่งจึงบอกวิธีแก้ไข ให้บนว่าถ้าหายแล้วจะถวายพระนอนขนาดหนึ่งในสามของคนเจ็บ แล้วกำชับให้มาส่งข่าวเมื่อครบสามวัน
เมื่อกลับมาทำพิธีตามที่ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์สั่งได้วันหนึ่ง คุณตริทิพย์ไม่กล้าไปเยี่ยมคนไข้ เพราะเห็นแล้วสงสารจับใจ ต่อเมื่อวันที่สองจึงไปเยี่ยมเพื่อดูอาการ จะได้กลับไปเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ
ฝ่ายคุณพึ่งชม เมื่อเห็นคุณตริทิพย์มาเยี่ยมก็บอกว่าตนสบายดีขึ้น แล้วก็เล่าให้คุณตริทิพย์ฟังว่า เห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดี เดินเข้ามาในห้องตอนเย็น แล้วคนไข้ก็ถามคุณตริทิพย์ ว่า
“นี่เธอเคยเห็นไหม คนเราหน้าสี่เหลี่ยม?”
คุณตริทิพย์ก็เฉยไม่กล้าตอบและเสชวนไปคุยเรื่องอื่นๆ จนได้เวลาพอสมควรก็อำลากลับ
พอรุ่งขึ้นคุณตริทิพย์ก็ไปเยี่ยมคุณพึ่งชมอีก คราวนี้คุณพึ่งชมเล่าถึงผู้ชายคนนั้นว่ามาหาอีก และบอกว่า
“นี่เธอหน้าสี่เหลี่ยมป๊อกเขียว!
คุณตริทิพย์ได้ฟังแล้วขนลุกไปทั้งตัว !
พอครบกำหนดสามวันตามที่ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์สั่งไว้ว่าให้ไปบอกเรื่องอาการของคนไข้ คุณตริทิพย์ก็ไปหาท่าน และยังไม่ทันจะเอ่ยปากเรียนท่าน ท่านอาจารย์ก็ชิงบอกว่า
“ท่านท้าวมหาพรหมท่านเสด็จไปเยี่ยม คนไข้คนนี้ท่านรับแล้วไม่เป็นไร”
ตั้งแต่นั้นมาอาการป่วยของคุณพึ่งชมก็ดีวันดีคืน จนหายเป็นปกติในเวลาต่อมา ระหว่างที่ป่วยอยู่นี้ผิวหนังลอกออกมาเป็นแผ่นๆ คนไข้ลองเก็บเอาไว้ปรากฏได้เป็นกระป๋องทีเดียว
แต่ครั้นคุณพึ่งชมหายดีแล้ว เมื่อทราบเรื่องที่คุณตริทิพย์บนท่านท้าวมหาพรหมเอาไว้ ว่าจะสร้างพระนอนมีขนาดหนึ่งในสามของตนถวาย ก็เกิดเสียดายเงิน เพราะราคาสมัยนั้นตกราวๆ ๗,๐๐๐ บาท
ดังนั้นเมื่อหายเป็นปกติได้สองปี และยังไม่ได้ลงมือสร้างพระนอนดังกล่าว คุณพึ่งชมก็เกิดล้มป่วยมีอาการเช่นเดิมกล่าวคือ นัยน์ตาปิด และบวมไปทั้งตัว เลยต้องแก้บนด้วยการว่าจ้างช่างสร้างพระนอนขนาดหนึ่งสามของตน แล้วนำมาบูชาที่บ้าน หลังจากนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก ๑๐ ปีเศษ จึงถึงแก่กรรม!
ที่เล่าเรื่องคุณธรรมอันวิเศษของ ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ มาให้ฟังทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้พึงตระหนักว่าคนเราตายไปแล้วมิได้สูญ ยังมีวิญญาณที่คอยรับบุญรับบาปอยู่ ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่อย่าได้ประมาทเลย จงเร่งสร้างบุญสร้างกุศลกันเถิด จะได้มีความสุขทั้งยามเป็นและยามตายสมดังใจปรารถนาทุกท่านทุกคน
ช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ร้าย
เมื่อครั้งโรงงานทอกระสอบ บริษัทกระสอบอีสาน (ปัจจุบันคือ บริษัท เอ็น.อี.พี อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)) ที่ตำบลจอหอ จังหวัดนครราชสีมา เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนมิรู้จักจบสิ้น อันสืบเนื่องมาจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้คนงานเสียชีวิตไปหลายต่อหลายราย เช่น รถยนต์คว่ำบ้าง คนงานผูกคอตายบ้าง คนงานทำปืนลั่นโดนเพื่อนตายบ้าง จนเป็นที่กล่าวขานแก่คนทั่วไปในละแวกใกล้เคียงมาช้านาน
ทางการของโรงงานจึงส่งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ไปพบท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ ณ บ้านเชิงสะพานปิ่นเกล้า ในวันหนึ่ง
ท่านอาจารย์ฯ ทราบถึงความทุกข์ร้อนของโรงงานทอกระสอบแล้ว ท่านก็เข้าสมาธิพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างกว้างขวาง ปรากฏว่า ประการแรก สถานที่ตั้งโรงงานแห่งนี้มีวิญญาณจำนวนมากสิงสู่อยู่
บรรดาวิญญาณทั้งหลายไม่เคยได้รับส่วนบุญกุศลใดอุทิศไปให้เลยและ ประการที่สอง พระภูมิเจ้าที่ของสถานที่ไปอยู่ในที่อับไม่เหมาะสม คือด้านในของโรงงาน ไม่ควรแก่การคารวะ
แล้วท่านอาจารย์ฯ ก็แนะนำให้ทางโรงงานทอกระสอบจัดการทำบุญเลี้ยงพระเป็นการใหญ่ แล้วอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่วิญญาณที่สิงสู่อยู่ในนั้นเสีย และให้เลือกสถานที่ตั้งพระภูมิโดยให้ย้ายจากหลังโรงงานอันเป็นที่อับ ออกไปไว้ด้านหน้า ใครไปใครมาจะได้คารวะบูชาท่านได้สะดวก
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ทางโรงงานทอกระสอบจอหอทราบความที่ท่านอาจารย์ฯแนะนำไปเช่นนั้น ก็รีบจัดการทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณทั้งหลายที่สิงสู่อยู่ในบริเวณโรงงาน และได้ทำการตั้งศาลพระภูมิใหม่เมื่อปี ๒๔๙๘ จากนั้นมาอุบัติเหตุร้ายแรงต่างๆ ก็เงียบสงบไป
จากการสอบถามชาวบ้านเก่าแก่ในท้องที่ ได้ความว่า สถานที่ตั้งโรงงานแห่งนี้เป็นที่ที่ชาวเมืองใช้สำหรับนำศพไปฝัง ทำนองเป็นป่าช้ากระนั้น!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------