สถิติ
เปิดเมื่อ29/03/2013
อัพเดท18/05/2013
ผู้เข้าชม25366
แสดงหน้า34228
ปฎิทิน
April 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
    




“เดลินิวส์” อาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2532

อ่าน 435

โดยทองทิว สุวรรณทัต

“เดลินิวส์” อาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2532

หลังจากที่ลงเรื่อง ท่านอาจารย์ พล.ร.ต. สุวิชานแพทย์ ร.น. ผู้อัญเชิญท่านท้าวมหาพรหมประทับที่โรงแรมเอราวัณไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้มีผู้อ่านโทรศัพท์ไปหาผู้เขียนหลายท่านขอร้องให้เล่าเกี่ยวกับคุณธรรมอันประเสริฐของท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ เพิ่มเติม เพราะบางคนเพียงแต่เคยได้ยินกิตติคุณของท่านที่ร่ำลือกันมาจนทุกวันนี้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ไม่ใคร่จะทราบนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนขอเล่าต่อดังนี้

ครั้นผู้เขียนเรียนจบมัธยมปีที่ ๖ จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ปากคลองตลาดใหม่ๆ เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งชื่อ พ.อ. เจตน์ จารุตามระ (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) ชักชวนลงเรือข้ามฟากจากฝั่งพระนครไปกราบท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ณ บ้านของท่านที่อยู่ทางสะพานพระปิ่นเกล้าในปัจจุบัน  เพื่อขอความกรุณาให้ท่านช่วยเหลือเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของญาติผู้ใหญ่ที่กำลังมีอาการค่อนข้างหนัก

ครั้นไปถึงบ้านท่านแล้ว เราก็ต้องรับบัตรที่ทางบ้านของท่านจัดเอาไว้ให้แล้วนั่งรอจนกว่าจะถึงคิวของตัว ซึ่งก็กินเวลาเป็นชั่วโมง เพราะคนที่มาพึ่งท่านก่อนหน้าเรามีเป็นจำนวนไม่น้อย

เมื่อถึงคิวของเจตน์แล้ว เขาก็ชวนผู้เขียนเข้าไปกราบท่าน หลังจากทำความเคารพ เพื่อนยังไม่ทันจะเอ่ยปากเล่าเรื่องให้ท่านฟังสักคำ ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ก็ทักขึ้นเสียก่อนว่า

คุณป้าของเรายังไม่ถึงที่ตายดอก กลับไปนี่ให้ท่านทำสังฆทานไปถวายพระแล้วกรวดน้ำอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาที่รักษาอายุ อีกไม่กี่วันก็หาย ยังไม่สิ้นอายุ

ต่อมาอีกสาม-สี่วัน ญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนผู้เขียนก็ลุกเดินเหินได้ และอยู่มาอีกหลายปี จึงถึงแก่กรรม

 

 

ช่วยครอบครัวและเพื่อนบ้านให้รอดตาย

เรื่องที่มหัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ปี พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๘๙ นั้น ระยะเวลาดังกล่าว นอกจากท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ จะได้ช่วยเหลือปัดเป่าความทุกข์ของคนทั้งหลายแล้ว ท่านยังได้ช่วยให้ครอบครัวของท่าน และเพื่อนบ้านใกล้เคียงรอดพ้นจากความตายอย่างหวุดหวิดอีกด้วย แต่ภัยสงครามในครั้งนั้น ทำให้ท่านเกือบหมดตัวเพราะบ้านเรือนถูกลูกระเบิดพังทลายจนหมดสิ้น

กล่าวคือ ในคืนวันหนึ่ง เสียงสัญญาณภัยทางอากาศก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ลุกขึ้นจากที่นอนทันทีทันใด แล้วรีบเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่ท่านบูชา ครั้นสังเกตเห็นควันธูปที่จุดไม่ลอยขึ้นเบื้องสูง แต่กลับลอยวนเวียนเป็นวงกลม ท่านจึงนั่งสมาธิ ตรวจดูทราบว่า เป็นครั้งสุดท้ายก็รีบลงจากบ้านเร่งบุตรของท่านออกเดินทางเข้าสวน (สวน คือ บริเวณสี่แยกอรุณอัมรินทร์ เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าในปัจจุบัน) โดยด่วน

ฝ่ายชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเห็นท่านอาจารย์ลงจากเรือนรุดเข้าสวนดังกล่าว ต่างก็พากันตะโกนบอกต่อๆ กันว่า คืนนี้คุณหลวงออกไปด้วย คืนนี้คุณหลวงออกไปด้วย! แล้วรีบเข้าไปพาคนในบ้านที่ยังหลงเหลือไว้เฝ้าบ้าน ให้ออกจากเรือนของตนตามๆ กัน

ขณะนั้นเครื่องบิน บี ๒๙ เริ่มลดระดับลงบินต่ำ และวนเวียนถี่เข้าทุกขณะ พอท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ พาบุตรของท่านเร่งเดินไปถึงทางเลี้ยวเข้าสวนเท่านั้น บี ๒๙ ก็โฉบต่ำลงมาทิ้งลูกระเบิดทันที!

ปรากฏว่ารุ่งเช้าเห็นที่ดินบ้านของท่านถูกระเบิดทำลาย ตัวเรือนหลังใหญ่ยังคงเป็นรูปทรงอยู่ แต่หลังคายุบลงไปโดยมีกอไผ่กอใหญ่ถูกแรงระเบิดยกมาจากหลังบ้าน หล่นลงมาทับ ส่วนบ้านช่องของชาวบ้านแถบนั้นก็พลอยวอดวายไปด้วยฤทธิ์ลูกระเบิดเพลิงจนราบพนาสูญแทบจะไม่เหลือ!

ช่วยต่ออายุคนตาย

พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ เคยเล่าให้ฟัง ในรายการที่ท่านได้รับเชิญไปพูดเรื่องจิตกับวิญญาณในครั้งหนึ่งว่า

มีญาติของคนไข้ผู้หนึ่งเชิญท่านไปรักษาเพราะคนป่วยมีอาการเพียบหนัก เมื่อท่านไปถึงบ้านก็ได้ตรวจอาการตามวิชาแพทย์ ซึ่งท่านมีความเชี่ยวชาญก็พบว่า ชีพจรของคนไข้หยุดเต้นแล้ว ! คนไข้ผู้นั้นถึงแก่กรรมก่อนท่านจะไปถึงชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว !

ครั้นวงศาคณาญาติของผู้ตายทราบเช่นนั้นก็พากันร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ในความดีของผู้ตายเป็นที่น่าเวทนา ทั้งร่ำร้องขอให้ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ หาทางช่วยเหลือให้คนตายฟื้นคืนสติอีกสักครั้ง เพราะพวกเขาทราบดีว่า ท่านมีความสามารถพอจะกระทำได้

ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ได้ฟังญาติของคนไข้รุมเร้าของความช่วยเหลือจากท่าน ดังนั้น ครั้งแรกท่านยังไม่กล้าที่จะรับปากพวกเขา เพียงแต่บอกว่าขอให้ท่านได้ตรวจดูตามหลักวิชาสมาธิของท่านดูก่อน

แล้วท่านก็เข้าสมาธิติดตามวิญญาณของชายคนไข้ที่ตายไป จนพบกับเทวดาที่รักษาอายุของเขา ท่านจึงได้ขอร้องกับเทวดาเพื่อขอชีวิตกลับคืนร่างตามเดิม ผลสุดท้ายได้มีการต่อรองกับเทวดารักษาอายุองค์นั้นโดยเทวดาได้ขอสัญญาว่า ถ้าให้วิญญาณของชายผู้นั้นกลับคืนสู่ร่างแล้ว จะต้องให้เขาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ก็รับปากจะบอกญาติพี่น้องของเขาให้จัดการตามประสงค์ของเทวดาทุกประการ

 ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ออกจากฌานสมาธิ จึงแจ้งให้วงศาคณาญาติของผู้ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วให้ทราบ อันเป็นการนำความปลื้มปีติแก่พวกเขาเป็นอย่างมาก และต่างก็นั่งรอเวลาที่วิญญาณจะกลับคืนสู่ร่าง

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ได้ตรวจอาการคนตายอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าหัวใจของชายผู้นั้นเริ่มเต้นช้า ๆ จนเข้าระดับปกติในเวลาต่อมาที่ไม่นานเท่าไหร่เลย !

เมื่อชายผู้นั้นแข็งแรงดีแล้ว ญาติพี่น้องได้จัดการให้เขาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตามข้อตกลงที่ท่านอาจารย์ได้ให้ไว้แก่เทวดารักษาอายุของเขา โดยไม่กล้าบิดพลิ้วแต่อย่างใด

ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ได้บรรยายถึงการขอต่ออายุจากเทวดารักษาอายุด้วยการเปรียบเทียบให้ฟังว่า เสมือนเราต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดในวัด เราจำเป็นต้องไปขออนุญาตตกลงกับเจ้าอาวาสหรือผู้ใหญ่ในวัดฉันใด การขอชีวิตก็จำเป็นที่จะต้องไปขออนุญาตตกลงกับเทวดาองค์ที่รักษาอายุของคนผู้นั้นฉันนั้น!

หลวงพ่อโต

นอกจากเรื่องดังกล่าว เมื่อครั้งวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๕ ได้มีการประกอบพิธีสำคัญขึ้น ณ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม คือพิธีสร้างพระพิมพ์ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) โดย พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นประธานนั้น นอกจากพระราชาคณะและพระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ยังได้เชิญท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ฯ เข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งนั้นด้วย

ขณะที่พระราชาคณะและพระคณาจารย์ทั้งหลายกำลังสวดพระปริตรอยู่นั้น ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ได้นั่งสมาธิในขณะที่จิตสงบ ก็ได้เห็นวิญญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กำลังพินิจพิจารณาสิ่งของต่างๆ ภายในวงสายสิญจน์ ซึ่งเป็นสรรพวัตถุที่จะประมวลเข้าพิธีกรรม อันมีผงเกสรดอกไม้ต่างๆ รวมทั้งแม่พิมพ์ว่าจะเป็นของปลอมหรือของแท้ และขาดเหลือสิ่งใดบ้าง เมื่อพระคุณเจ้าสำรวจจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านก็เสด็จกลับขึ้นสู่พรหมโลก

จากนั้น ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ยังได้ทราบโดยทางฌานสมาธิอีกว่า วิญญาณของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) จะเสด็จจากพรหมโลกลอยเข้าสู่มงคลพิธีในเวลา ๑๕.๐๐ น. !

พิธีการครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งได้จัดขึ้น ณ วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งในครั้งนี้ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ เป็นผู้อุปการะ และได้ร่วมกันจัดสร้างพระโดยศิษย์ของท่าน ในพิธีนี้มีพระราชาคณะและพระคณาจารย์ต่าง ๆ ผู้ทรงคุณวิเศษมาร่วมด้วยเป็นอันมาก

เมื่อได้ฤกษ์ก็บังเกิดนิมิตประหลาด บนท้องฟ้าที่กำลังแผดจ้าด้วยแสงแดดกำลังกล้า กลับเปลี่ยนเป็นพยับโพยม เมฆฝนมืดทึบเคลื่อนมาปกคลุมทั่วท้องฟ้านภากาศในบัดดล

ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ เห็นนิมิตดังนั้น จึงได้เข้าไปทำการบูชาพระพุทธรูปในโบสถ์โดยฉับพลัน เพราะท่านทราบว่า การที่เกิดนิมิตประหลาดเช่นนี้ มิได้เกิดจากธรรมชาติและก็สมจริงทุกประการ

เพราะเมื่อท่านอาจารย์ขอบรมพุทธานุญาตนั่งสมาธิได้ครู่เดียว ท่านก็ทราบว่าดวงวิญญาณของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้เสด็จมาถึงแล้วแต่ยังไม่ยอมเข้าที่ประทับ ด้วยยังไม่มีผู้ใดอัญเชิญ ท่านอาจารย์จึงออกจากสมาธิ สั่งให้เจ้าหน้าที่พิธีการอัญเชิญวิญญาณของสมเด็จฯ เข้าสู่ที่ประทับทันที

เมื่อการณ์ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อย เมฆที่พยับโพยมบดบังแสงอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยลอยไป จึงบังเกิดแสงสวางแผดจ้าทั่วท้องฟ้านภาลัยอีกครั้งหนึ่ง

ท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ ได้ช่วยเหลือผู้มีทุกข์จนปลายชีวิตของท่าน นั่นก็คือ ในคืนวันพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๒ ท่านท้องเสียหลายครั้งมาแล้ว จึงทำให้อ่อนเพลียมาก จนเหมือนไม่รู้สึกตัว ทำให้บรรดาบุตรของท่านตกใจรีบติดต่อโรงพยาบาล ขณะนั้นคุณประยูร วงศ์ผดุง ได้พาแขกมาพบ เมื่อท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานฯ ซึ่งมีอาการหนักอยู่แล้วทราบว่ามีผู้มาขอความช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์ของเขา ท่านก็ลืมทุกข์ของท่าน ได้พยายามช่วยเหลือแขกผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านกำลังจะสิ้นแรง !

รุ่งขึ้นท่านเข้าโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า แล้วไม่ได้กลับบ้านอีกเลย !

ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า วิญญาณอันบริสุทธิ์ของท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์ คงสถิตบนชั้นพรหม เพราะเมื่อยามมีชีวิตอยู่ท่านสามารถติดต่อกับท่านท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ เพื่อปัดเป่าความทุกข์ของคนทั้งหลายเป็นเวลาเกินกว่าครึ่งของอายุท่าน ซึ่งผู้เขียนอยากจะกล่าวว่า เราจะหาผู้มีคุณธรรมสูงเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------